โบท็อกยี่ห้อไหนดีที่สุด? พร้อมเปรียบเทียบจุดเด่นของแต่ละยี่ห้อ

สำหรับใครที่กำลังมองหาว่าโบท็อกยี่ห้อไหนดีที่สุด ฉีดแล้วได้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน และปลอดภัย โดยไม่รู้ว่าจะเลือกระหว่างโบท็อกอเมริกาที่มีมานาน โบท็อกเกาหลีที่ราคาคุ้มค่า หรือจะเป็นโบท็อกจากยุโรปที่มีเทคโนโลยีทันสมัยดี วันนี้เราจะพาทุกคนมาเจาะลึกข้อดีข้อเสียของโบท็อกแต่ละยี่ห้อ พร้อมแนะนำว่าแต่ละยี่ห้อว่าเหมาะกับการใช้งานแบบไหน ใครกำลังลังเลว่าจะเลือกยี่ห้อไหนดี ตามมาดูกัน

โบท็อกยี่ห้อไหนดีที่สุด? 

โบท็อกแต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ทั้งด้านความบริสุทธิ์ การกระจายตัว ระยะเวลาที่อยู่ได้ และความเป็นธรรมชาติของผลลัพธ์ มาดูกันว่าแต่ละยี่ห้อมีข้อดีอย่างไร เพื่อให้เราเลือกได้เหมาะกับความต้องการที่สุด

Allergan (โบท็อกอเมริกา)

ถ้าพูดถึงโบท็อกที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุด Allergan ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ในฐานะแบรนด์โบท็อกอเมริกาที่ได้รับการรับรองจาก FDA เป็นรายแรก โดย Allergan โดดเด่นด้วยความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% ทำให้โอกาสดื้อยาต่ำมาก และที่สำคัญคือยาจะกระจายตัวในวงแคบ ช่วยให้ควบคุมผลลัพธ์ได้แม่นยำ เหมาะกับการฉีดบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น แก้ไขริ้วรอยเฉพาะจุด ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 5-8 เดือน ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคนที่ต้องการความมั่นใจสูงสุด สำหรับราคาจะอยู่ที่ประมาณ  50 ยูนิต 12,000-15,000 บาท และ 100 ยูนิต  18,000-20,000 บาท

Dysport (โบท็อกอังกฤษ)

จุดเด่นของ Dysport อยู่ที่โมเลกุลขนาดเล็กและการกระจายตัวที่ดี ทำให้ผลลัพธ์ดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งเกินไป เหมาะสำหรับการฉีดบริเวณกว้างอย่างหน้าผากหรือกราม ที่ต้องการการกระจายตัวของยาที่สม่ำเสมอ  ผลลัพธ์อยู่ได้ 4-6 เดือน เหมาะกับคนที่ชอบความเป็นธรรมชาติ สำหรับราคาจะอยู่ที่ประมาณ 300 ยูนิต 15,000-18,000 บาท และ 500 ยูนิต 25,000-28,000 บาท

Xeomin (โบท็อกเยอรมัน)

Xeomin โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี XTRACT ที่ทำให้ไม่มีการปนเปื้อนของโปรตีน จึงมีความบริสุทธิ์สูงมาก แม้โมเลกุลจะเล็ก แต่ประสิทธิภาพในการยับยั้งการทำงานของระบบประสาทยังคงดีเยี่ยม ที่พิเศษคือสามารถใช้ได้แม้กับคนที่เคยดื้อโบท็อกยี่ห้ออื่นมาก่อน การกระจายตัวดี ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 4-6 เดือน เหมาะกับการฉีดได้ทั้งใบหน้า ทั้งลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า หรือลดกราม สำหรับราคาจะอยู่ที่ประมาณ 50 ยูนิต 10,000-13,000 บาท และ 100 ยูนิต 15,000-18,000 บาท

Nabota (โบท็อกเกาหลี)

Nabota คือหนึ่งในโบท็อกเกาหลีที่ได้รับความนิยมสูง ด้วยเทคโนโลยี HI-PURE ที่ให้ความบริสุทธิ์สูงถึง 98.7% จุดเด่นคือออกฤทธิ์เร็ว เห็นผลไว แต่ยังให้ความรู้สึกนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญคือราคาคุ้มค่ากว่าโบท็อกจากยุโรปหรืออเมริกา แต่ยังคงคุณภาพและความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจาก FDA อเมริกาด้วย อยู่ได้นาน 4-6 เดือน เหมาะกับคนที่ต้องการเห็นผลเร็วในราคาที่จับต้องได้ สำหรับราคาจะอยู่ที่ประมาณ 100 ยูนิต 9,000-12,000 บาท

Botulax (โบท็อกเกาหลี)

Botulax โดดเด่นด้วยความอ่อนโยนและผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติสูง ความบริสุทธิ์ที่ 99.5% และระยะเวลาอยู่ได้นานถึง 6-8 เดือน ซึ่งนานกว่ายี่ห้ออื่นๆ ราคาก็ถูกกว่าแบรนด์จากยุโรปและอเมริกา เหมาะกับการฉีดลดริ้วรอยทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณที่ต้องการความอ่อนโยน เช่น รอยขมวดคิ้ว หรือริ้วรอยใต้ตา สำหรับราคาจะอยู่ที่ประมาณ 100 ยูนิต 13,000-16,000 บาท และ 200 ยูนิต 23,000-26,000 บาท

Neuronox (โบท็อกเกาหลี)

Neuronox ใช้สายพันธุ์ Hall A-hyper ที่มีงานวิจัยรองรับว่าใกล้เคียงกับโบท็อกอเมริกา มีความบริสุทธิ์ 98-99% อยู่ได้นาน 4-6 เดือน จุดเด่นคือยากระจายตัวแคบ ทำให้ควบคุมผลลัพธ์ได้ดี และดูเป็นธรรมชาติ โอกาสดื้อยาต่ำ เหมาะสำหรับการฉีดลดริ้วรอยและปรับรูปหน้า โดยเฉพาะในจุดที่ต้องการความแม่นยำ สำหรับราคาจะอยู่ที่ประมาณ 50 ยูนิต 4,000-6,000 บาท และ 100 ยูนิต 7,000-10,000 บาท

การฉีดโบท็อกควรเลือกยูนิตเท่าไหร่ดี?

แต่ละจุดบนใบหน้าต้องการปริมาณโบท็อกที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยและเป็นธรรมชาติ โดยทั่วไปการฉีดลดกรามจะใช้ประมาณ 20-50 ยูนิตต่อข้าง ส่วนการลิฟต์กรอบหน้าใช้ 20-50 ยูนิตต่อข้าง หน้าผากประมาณ 12-20 ยูนิต ระหว่างคิ้ว 10-20 ยูนิต และริ้วรอยตีนกาประมาณ 16-24 ยูนิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละคนด้วย

การเลือกโบท็อกยี่ห้อไหนดีให้เหมาะกับตัวเองนั้น ต้องพิจารณาทั้งความต้องการ งบประมาณ และจุดที่ต้องการฉีด โบท็อกอเมริกาเหมาะกับคนที่ต้องการความมั่นใจสูงสุด โบท็อกยุโรปเหมาะกับคนที่ชอบความเป็นธรรมชาติ ส่วนโบท็อกเกาหลีเหมาะกับคนที่ต้องการความคุ้มค่าและเห็นผลเร็ว หากสนใจฉีดโบท็อกของแท้คุณภาพดีจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถเข้ามาปรึกษากับ Wichanya Clinic ได้เลย